10 อันดับเทรนด์ ทางด้านเทคโนโลยีในปี 2020

Gartner (Gartner, Inc) บริษัทผู้นำทางด้านการวิจัยและด้านการให้คำปรึกษาของโลก ได้วิเคราะห์และออกมาเปิดเผยถึง 10 อันดับเทรนด์ด้านเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นในปี 2020 ในงานว่ามีดังนี้
1. Hyperautomation

เทคโนโลยีอย่างแรกที่จะเข้ามามีบทบาทในปี 2020 และจะทำให้ เทคโนโลยีดั้งเดิมที่มีอยู่แล้วอย่าง RPA (Robotic Process Automation) ตกยุคไปก็คือ Hyperautomation คือใช้การผสมผสานด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างเช่น AI, Machine Learning หรือเครื่องมืออัติโนมัติต่าง ๆ เข้ามาทำงานทุกส่วนทั้ง การ ค้นหาวิธีการใหม่ๆ วิเคราะห์ ออกแบบ คำนวณ ตรวจสอบ ติดตาม และ ประเมินผลงาน ซึ่งต่างจากเทคโนโลยีเก่าอย่าง RPA ที่จะสามารถทำงานได้แค่บางส่วนเท่านั้น หลายๆส่วนยังต้องใช้มนุษย์เข้ามาทำงานด้วย
2. Multiexperience

ด้วยเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบันอย่าง VR(Virtual Reality), AR (Augmented Reality) และ MR (Mixed Reality) เทคโนโลยีที่ทำให้ผู้ใช้ได้สัมผัสมีส่วนร่วมปฏิสัมพันธ์กับโลกดิจิตอลเสมือนนั้น ทาง Gartner ได้วิเคราะห์ว่า ตั้งแต่ปี 2020 ถึง 2028 เทคโนโลยีเหล่านี้จะพัฒนามากขึ้นจนถึงมนุษย์จะสามารถใช้ประสาทสัมผัสต่าง ๆรวมไปถึงวิธีการตอบโต้กับโลกเสมือนนั้นจะมีวิธีหลากหลายมากขึ้น
3. Democratization of Expertise

ในปี 2020 นั้น ทุกคนจะสามารถเข้าถึงความเชี่ยวชาญต่าง ๆได้มากขึ้น เช่น การพัฒนา AI หรือทางด้านการพัฒนาแอพลิเคชัน รวมไปถึง ทักษะการขาย หรือความเชี่ยวชาญทางด้านธุรกิจ โดยเข้าถึงได้ง่ายและไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายที่สูงนัก เนื่องจากจะมีซอฟต์แวร์สำเร็จรูปเข้ามา ทำให้ผู้ใช้งานไม่จำเป็นที่จะต้องเขียนโปรแกรม หรือ มีทักษะสูง ก็สามารถใช้งานได้เหมือนผู้เชี่ยวชาญทางด้านนั้น ๆ
4. Human Augmentation

เทคโนโลยีจะเป็นส่วนหนึ่งบนร่างกายมนุษย์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ โดยการปลูกถ่ายหรือติดตั้งส่วนประกอบทางด้านเทคโนโลยีไว้บนร่างกาย เช่น อุปกรณ์สวมใส่ต่าง ๆ อย่างเช่น Smart Watch ทำให้มนุษย์สามารถเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้นเช่น การติดต่อสื่อสาร รู้ตำแหน่ง หรือวัดอัตราการเต้นของหัวใจของตัวเองได้ ซึ่งจากนี้ไปอีก 10 ปีเทคโนโลยีนี้จะพัฒนาและขยายขีดความสามารถไปมากขึ้นในการทำงาน
5. Transparency and Traceability

ผู้บริโภคจะตระหนักถึงความเป็นส่วนตัวและมูลค่าของข้อมูลตัวเองมากขึ้น องค์กรต่าง ๆจะเพิ่มการรักษาข้อมูลและการบริหารข้อมูลมากขึ้น รวมไปถึงรัฐบาลจะเริ่มบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดในการเข้าถึงข้อมูลเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและตรวจสอบได้และปกป้องความเป็นส่วนตัว
6. The Empowered Edge

โครงสร้างเครือข่ายแบบ Edge Computing ที่จะมีการนำมาใช้งานมากขึ้นแทนแบบเครือข่ายปกติอย่าง Cloud Computing แบบเดิม ซึ่งเป็นโครงสร้างที่จะให้คอมพิวเตอร์มีการรวบรวมข้อมูลและประมวลผลใกล้กับแหล่งที่มาของข้อมูล เช่น ข้อมูลที่เก็บบนโทรศัพท์ก็จะประมวลผลบนโทรศัพท์แทนที่จะส่งไปให้ Cloud ในการประมวลผล เพื่อลดภาระและความหน่วงที่จะต้องส่งผ่านข้อมูลผ่านเครือข่าย
7. Distributed Cloud

จะมีการปรับเปลี่ยนจากการรวมศูนย์ของ Cloud ไว้ที่แห่งเดียวกลายเป็นลักษณะแบบกระจาย ไปตามจุดต่าง ๆ เพื่อให้เข้าถึงผู้ใช้ได้ง่ายและรวดเร็วมากที่สุด
8. Autonomous Things

อุปกรณ์อัตโนมัติ อย่างเช่น หุ่นยนต์ โดรน หรือ เรือ หรือพาหนะไร้คนขับต่าง ๆ จะครอบคลุมขอบเขตของการทำงานมากกว่าเดิมที่ทำงานได้ตายตัวตามที่โปรแกรมไว้ จะเปลี่ยนเป็นใช้ AI เพื่อทำงานให้สามารถตอบโต้กับคนหรือสิ่งแวดล้อมได้ดีกว่าเดิมและเป็นธรรมชาติมีประสิทธิภาพมากขึ้น
9. Practical Blockchain

เทคโนโลยีบล็อกเชน จะถูกนำเอามาใช้งานในธุรกิจจริงมากขึ้น โดยจะทำให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือ ความโปร่งใส รวมไปถึงรองรับการแลกเปลี่ยนมูลค่าในการทำธุรกิจ และช่วยลดต้นทุนและค่าใช้จ่าย เพิ่มความรวดเร็วในการทำธุรกรรม นำเอามาช่วยให้สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของสินทรัพย์ ลดโอกาสการซื้อสินค้าปลอม การตรวจสอบติดตามสินค้าปนเปื้อนของอาหาร หรือนำไปใช้งานในการจัดการยืนยันตัวตนผู้ใช้ การทำ Smart Contract ของบล็อกเชน เช่น ระบบโอนเงินแบบอัตโนมัติหลังจากลูกค้าได้รับสินค้า
10. AI Security

การเพิ่มขึ้นของการใช้ AI (Artificial Intelligence) และ ML (Machine Learning) ที่ต้องใช้ข้อมูลระดับมหาศาล ที่ต้องมีการเชื่อมต่อกับการใช้ IoT (Internet Of Things) หรือ Cloud Computing และ Microservices ทำให้เกิดความเสี่ยงในการถูกโจมตีมากขึ้น ทำให้เกิดความท้าทายสำหรับทีมงานฝ่ายไอทีที่ดูแลด้านความปลอดภัยที่จะต้องจัดการดูแลความเสี่ยง ไม่ให้ถูกโจมตี
Wisarut Duangmorakot
ที่มา