รถยนต์อัตโนมัติแห่งอนาคต (Self-Driving Cars)

ทุกวันนี้เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทในทุกอุตสาหกรรมของโลกก็คือเทคโนโลยี AI หรือปัญญาประดิษฐ์ ที่เปรียบเสมือนให้คอมพิวเตอร์นั้นมีความสามารถในการคิดและเรียนรู้ด้วยตัวเองเหมือนเซลล์สมองของมนุษย์เพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนมาก ๆ ได้ ซึ่งหนึ่งในปัญหาที่มีความท้าทายต่อมนุษย์อย่างหนึ่งคือเรื่องของรถยนต์ไร้คนขับ (Self-Driving Car) นั่นเอง ซึ่งในบทความนี้จะพูดถึงส่วนประกอบต่าง ๆ ของ Self-Driving Cars และเทคโนโลยีที่นำมาใช้งานในรถยนต์ไร้คนขับ

https://unsplash.com/

Self-Driving Cars คืออะไร?

Self-Driving Cars หรือ รถยนต์ไร้คนขับ คือ รถยนต์ที่มีความสามารถในการมองเห็นและเข้าใจสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัวของรถ และสามารถขับเคลื่อนจากที่นึงไปยังอีกที่นึงได้อย่างปลอดภัย และไม่ต้องการคำสั่งในการบังคับจากมนุษย์ โดยผ่านการควบคุมจากสมองซึ่งก็คือ AI ที่อยู่ในตัวรถหรือบน Cloud ซึ่ง Self-Driving Cars นั้นใช้เทคโนโลยีทั้ง 4 ด้านนี้เข้าด้วยกัน นั่นก็คือ

เทคโนโลยีที่ใช้ใน Self-Driving Cars

1. Computer Vision (คอมพิวเตอร์วิทัศน์) เปรียบเสมือนส่วนของการรับรู้ของรถ คือการใช้กล้อง เรดาร์ หรือเลเซอร์ เพื่อให้รถสามารถมองเห็น รู้ระยะ ความใกล้ไกลของวัตถุหรือรถต่างๆที่อยู่รอบตัว เป็นข้อมูลเพื่อใช้ในการขับขี่อัตโนมัติ

2. Deep Learning (การเรียนรู้เชิงลึก) เปรียบเสมือนสมองของรถยนต์ไร้คนขับ หลังจากที่รถมีข้อมูลที่ได้จากกล้องวีดีโอเซนเซอร์ต่างๆ ก็จะส่งข้อมูลเข้ามาที่ส่วนของสมองส่วนนี้ ซึ่งทำหน้าที่ตั้งแต่ทำความเข้าใจว่ารูปที่ได้จากกล้องวีดีโอนั้น ส่วนไหนเป็นถนน ส่วนไหนเป็นรถยนต์คันอื่น หรือคนกำลังข้ามถนน จนไปถึงในการตัดสินใจว่าจะให้รถขับเคลื่อนไปในทิศทางไหน เลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา

3. Robotic (หุ่นยนต์) เปรียบเสมือนเส้นประสาท หลังจากที่ได้ข้อมูลในการตัดสินใจจากสมองมาแล้ว ส่วนนี้จะทำหน้าที่แปลงสัญญาณที่ได้และสัญญาณไฟฟ้าส่งไปที่ล้อและการควบคุมต่างๆ เพื่อให้รถยนต์อัตโนมัติสามารถเดินทางไปได้

4. Navigation (การนำทาง) เป็นระบบส่วนที่ใช้ในการติดต่อกับผู้ใช้งานสำหรับการตั้งค่าการเดินทาง ต้นทางไปยังปลายทาง รวมไปถึงการวิเคราะห์สภาพการจราจรและการนำทางบนเส้นทางต่างๆ ไปยังจุดหมาย

https://unsplash.com/

ระดับความอัตโนมัติของรถยนต์ไร้คนขับ (Levels of driving automation)

สมาคมวิศวกรถยนต์อัตโนมัตินานาชาติ (Society of Automobile Engineers) [SAE] ได้กำหนดมาตรฐานเพื่อแบ่งระดับความอัตโนมัติของรถยนต์ไร้คนขับ ซึ่งทำให้เราสามารถวัดระดับความฉลาดของรถแต่ละคันได้ โดยแบ่งเป็น 6 ระดับ ซึ่งได้แก่

ระดับที่ 0 : มนุษย์ต้องเป็นคนควบคุมทุกอย่าง อาจจะมีระบบคอยแจ้งเตือนมนุษย์ เช่น เตือนให้เบรก หรือเมื่อรถวิ่งออกจากเลน แต่มนุษย์ต้องเป็นคนควบคุมทั้งหมด

ระดับที่ 1 (Hands On) : มีระบบที่ช่วยเหลือในการขับบางส่วน เช่น Cruise Control ทำให้ไม่ต้องใช้ขาในการเหยียบคันเร่ง ใช้แค่มือ

ระดับที่ 2 (Hands Off) : มีระบบที่ช่วยเหลือในการขับขี่ทั้งหมด ในการ เร่ง เบรก และการบังคับทิศาง เช่น Cruise Control และ การควบคุมเข้าวิ่งกลางเลนแบบอัตโนมัติ แต่ผู้ขับขี่ต้องพร้อมที่จะเข้าบังคับพวงมาลัยในเหตุฉุกเฉินถ้าระบบมีความขัดข้อง

ระดับที่ 3 (Eyes Off) : ระบบที่ช่วยในการขับขี่อัตโนมัติ โดยที่ผู้ขับแทบจะไม่จำเป็นที่จะต้องโฟกัสในการขับขี่ ซึ่งผู้ใช้สามารถดูหนังหรือเล่นโทรศัพท์ไปด้วยขณะขับได้ แต่เมื่อถึงเหตุฉุกเฉินระบบจะแจ้งเตือนผู้ใช้ให้เข้ามาบังคับแทน

ระดับที่ 4 (Mind Off) : ระดับนี้ผู้ใช้ไม่จำเป็นที่จะต้องสนใจในการขับขี่เลย สามารถนอน หรือไม่จำเป็นต้องนั่งในเบาะคนขับ

ระดับที่ 5 (Steering Wheel Optional) : ระดับนี้ไม่จำเป็นต้องมีมนุษย์ในการควบคุมเลย ยกตัวอย่างเช่น แทกซี่แบบไร้คนขับ

จะเห็นได้ว่าในแต่ละดับของความอัตโนมัติของรถยนต์ไร้คนขับจะมีความฉลาดขึ้นเป็นอย่างมาก หลายๆบริษัทชั้นนำในโลก เช่น Tesla หรือ BMW ต่างลงทุนวิจัยในรถยนต์ไร้คนขับนี้ ถือเป็นความท้าทายต่อวงการ AI และรถยนต์ ทั้งในด้านของการเก็บข้อมูล ที่จะต้องมีข้อมูลมหาศาลเพื่อให้ AI ใช้ในการเรียนรู้ได้อย่างแม่นยำได้อย่างสูงที่สุด ไม่เช่นนั้นอาจจะส่งผลต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ นอกนั้นคือ Hardware เซ็นเซอร์ต่างๆ ที่นำมาใช้จะต้องมีความเสถียร และแม่นยำ และสุดท้ายคือซอฟต์แวร์ที่ใช้ จะต้องประมวลผลได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งหวังว่าเราจะเห็นรถยนต์ไร้คนขับระดับที่ 5 ในเร็วๆนี้

Wisarut Duangmorakot

https://unsplash.com/
Reference.

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *