ในอนาคตอันใกล้เราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงวงการงานบุคคลให้ฉลาดมากยิ่งขึ้น โดยใช้ Artificial Intelligence (AI) หรือปัญญาประดิษฐ์ มาช่วยในการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่พนักงานเข้า จนถึงพนักงานออกจากองค์กร ซึ่งเป็นข้อดีต่างๆ เช่น
การสรรหาพนักงานใหม่
• ตรวจคุณสมบัติตรงกับงานหรือไม่ AI จะมาช่วยในการวิเคราะห์คุณสมบัติที่ใช้ในการคัดเลือกเบื้องต้น เช่น ทักษะทางด้านภาษา ความรู้เกี่ยวกับด้านเทคนิค เป็นต้น เพื่อที่จะสรุป และส่งข้อมูลไปยังหน่วยงาน HR เพื่อพิจารณาต่อไป
• ประสบการณ์ทำงานของผุ้สมัคร คือ ผู้สมัครเคยมีประสบการณ์ หรือทำงานบริษัทไหนมาบ้าง AI จะช่วยวิเคราะห์ประสบการณ์การทำงานของผู้สมัคร รวมถึงระยะเวลาในการทำงานแต่ละบริษัที่ผ่านมา เพื่อที่จะสรุป และคาดาการณ์ว่าผู้สมัครแต่ละรายจะอยู่กับองค์กรได้นานเท่าไหร่
• เคยกระทำความผิดอะไรบ้าง AI สามารถสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำความผิดในด้านต่างๆ ที่อาจจะเกี่ยวข้องกับคัดเลือกสำหรับพนักงานใหม่
• Lifestyle หรือวิถีการดำเนินชีวิตของผู้สมัคร ดูว่าผู้สมัครมีความสนใจเรื่องใดบ้าง เพื่อที่จะเป็นตัวกรอง และคัดเลือกเบื้องต้นเกี่ยวกับผู้สมัครว่ามี lifestyle ที่เหมาะกับบริษัทหรือไม่ อย่างไร เช่น ผู้สมัครส่งใบสมัครที่บริษัทธุรกิจเกี่ยวกับบันเทิง AI ก็จะมาช่วยคัดกรองว่า ผู้สมัครรายนี้มีงานอดิเรก หรือความชื่นชอบที่เกี่ยวกับความบันเทิงไหม เช่น ชอบฟังดนตรี เล่นดนตรี และชอบศิลปะ เป็นต้น
• นัดผู้สมัครสัมภาษณ์ AI สามารถช่วยในการจัดลำดับความน่าสนใจข้อมูลของผู้สมัคร โดยสามารถประมวลคุณสมบัติของผู้สมัครตามที่บริษัทต้องการ และเป็นผู้ส่งเมลล์ในการนัดสัมภาษณ์ โดยเรียงคะแนนผู้สมัครที่มีคะแนนน่าสนใจมากที่สุดไปจนถึงน้อยที่สุดได้อีกด้วย
การฝึกอบรมพนักงาน/ประเมินผล
• การอบรมแบบ Role-play โดยสามารถให้โจทย์กับผู้เข้าสัมมนา และให้คิดแนวทางการแก้ไขปัญหาว่ามีแนวทางไหนบ้างที่สามารถทำได้จริง และมีผลกระน้อยที่สุด อีกทางหนึ่งเราก็ใช้ AI มาเป็นเปรียบเทียบ หรือเทียบเคียงในการแก้ไขปัญหาเดียวกันกับผู้เข้าอบรมว่าแนวทางที่ผู้เข้าอบรมคิดและ AI คิด แบบไหนเป็นแนวทางหรือคำตอบที่น่าพอใจที่สุด ที่เราสามารถนำปฏิบัติจริงได้
• การอบรมแบบ AI Coaching/Consulting ในการทำงานบางขั้นตอนจะมีปัญหา และบางองค์กรไม่มีการทำ KM รวบรวมความรู้ และวิเคราะห์/สังเคราะห์องค์ความรู้ขององค์กรมา หรือผู้เชี่ยวชาญนั้นๆ ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาได้ จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ จึงทำให้องค์ความรู้ที่มีค่าในองค์กรสูญหายไปเปล่าประโยชน์ ดังนั้นถ้าเราใช้ AI เป็นพี่เลี้ยงเวลาผู้เข้าอบรมทำงาน หรือทำ Project Based สามารถใช้ AI ในการหา Solutions หรือแนวทางการแก้ไขได้ ถ้ายิ่งใช้งาน AI หรือป้อนข้อมูลบ่อยเท่าไหร่ ก็จะสร้าง Solution มากขึ้นเท่านั้น
• การประมินผล สามารถใช้ AI ในการวิเคราะห์ได้จาก Lifestyle ต่างๆ จากพนักงานว่า พนักงานแบบไหน หรือประเภทไหนที่มีโอกาสที่จะได้เกรดต่ำในการปฏิบัติงาน เช่น คนมาสาย คนหยุด/ลางาน สังสรรค์บ่อย ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลทำให้มีโอกาสได้เกรดต่ำในการปฏิบัติ เป็นต้น
การรักษาพนักงาน
• ประเภทการลา ในทุกๆ เดือน จะมีการลาของพนักงานหลายประเภท เช่น ลาป่วย ลากิจ หรือลาพักร้อน จำนวนหลายๆ ครั้ง AI สามารถเข้ามามีส่วนช่วยในการคาดการณ์ว่าพนักงานกลุ่มเหล่านี้จะมีแนวโน้มเปอร์เซ็นต์ที่จะการลาออกจากบริษัทหรือไม่ โดยใช้หลักสถิติย้อนหลังเป็นฐานข้อมูลในการคาดคะเน
• การมาสาย เป็นปัจจัยหนึ่งที่สามารถใช้ AI มาคาดการณ์ได้ว่าพนักงานเหล่านี้ที่มาสายอยู่เป็นประจำมีแนวโน้มที่จะลาออกหรือไม่ เช่น บ้านอยู่ไกล จึงต้องมาสายและเป็นอย่างนี้อยู่ประจำ จนเป็นสาเหตุที่พนักงานจะลาออกเพื่อไปทำงานที่ใกล้บ้าน เป็นต้น
• Lifestyle หรือวิถีการดำเนินชีวิตของพนักงาน เราสามารถอกกแบบรูปแบบสวัสดิการให้แก่พนักงานเป็นรายบุคคล (Individual Benefit) โดยใช้ AI ในการประมวลผลจาก เพศ อายุ สถานะ และการเบิกค่าใช้จ่ายของสวัดิการต่างๆ ของบริษัทที่มีให้แก่พนักงาน เพื่อออกแบบสวัสดิการตาม Lifestyle หรือวิถีการดำเนินชีวิตของพนักงาน อันจะส่งผลเป็นการสร้างความผูกพันธ์ของพนักงานที่มีต่อบริษัทได้อีกประการหนึ่ง
ทั้งหมดนี้ก็เป็นแค่ตัวอย่างที AI สามารถเข้ามามีส่วนใช้ในการทำงานของ HR ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นไปจากปัจจุบัน
By. Stay_away