Digital หมายถึง Digital World เอาระบบต่างๆสามารถนำมาผนวกเข้ากับชีวิตประจำวันได้ ใช้งานได้ในโลกจริง ไม่ได้อยู่แค่ในจอคอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียว
Intelligent หมายถึง การนำเอา Artificial Intelligent (AI) ที่เอาเข้ามาใช้งานกับทุกระบบ ทุกแพลทฟอร์ม ทุกแอพพลิเคชั่น
Gartner บริษัทผู้นำทางด้านงานวิจัยและทางด้านที่ปรึกษาระดับโลก ได้จัดงาน Gartner Symposium ITxpo ที่เมือง Orlando ในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนตุลาคม 2018 ทีผ่านมา

ซึ่งภายในงาน Gartner ได้ออกมาแชร์ถึง 10 เทรนด์ทางด้านเทคโนโลยีประจำปี 2019 ซึ่งทั้ง 10 เทรนด์นี้ต่างอยู่บน 3 เทรนด์ใหญ่ๆก็คือ
- Intelligent
- Digital
- Mesh
https://i.ytimg.com/vi/KJ5FeYXFh3c/hqdefault.jpg
โดย Intelligent หมายถึง การนำเอา Artificial Intelligent (AI) ที่เอาเข้ามาใช้งานกับทุกระบบ ทุกแพลทฟอร์ม ทุกแอพพลิเคชั่น

Digital หมายถึง Digital World เอาระบบต่างๆสามารถนำมาผนวกเข้ากับชีวิตประจำวันได้ ใช้งานได้ในโลกจริง ไม่ได้อยู่แค่ในจอคอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียว
Mesh หมายถึง Connection เป็นระบบที่เชื่อมต่อคน เชื่อมระบบการทำงานต่างๆ แบบใหม่ๆ
ซึ่งเทรนด์ทั้ง 10 อย่างได้แก่

1. Autonomous Things (อุปกรณ์อัจฉริยะ)
นำ AI เข้ามาใช้งานในโดยเอาเข้ามาใช้ทั้งใน Hardware และ Software เช่น รถโดยสารแบบไร้คนขับ โดรน หรือ การขนส่งทางเรือแบบอัติโนมัติ ซึ่งเราจะเห็นโลกที่ใช้งานทางด้าน Autonomous Things ที่เข้ามาใช้งานแทนที่มนุษย์มากขึ้น

2. Augmented Analytics (เพิ่มความสามารถของทานด้านการวิเคราะห์ข้อมูล)
คือการไม่ได้เอา AI เข้ามาแทนที่มนุษย์แต่นำ AI เข้ามาเพิ่มพูนศักยภาพให้มนุษย์ ซึ่งทั่วโลกจะมีการทำ data analytics และ business intelligence เช่นในองค์กร มีเซลล์เมเนเจอร์ ต้องการจะทราบว่ามีปัญหาใดบ้างที่ส่งผลต่อยอดขาย ซึ่งระบบนี้จะวิเคราะห์และผสมผสานทุกสมมติฐานที่เป็นไปได้โดยใช้ข้อมูลที่เก็บไว้ทั้งหมดในบริษัทแบบอัติโนมัติแล้วแสดงผลออกมาเป็น insights ของข้อมูลที่ช่วยเหลือในด้านการตัดสินใจ โดยบุคคลที่ใช้ซอฟต์แวร์นี้เรียกว่า Citizen of data scientist ที่ Gartner ได้ทำนายว่าจะมีมากกว่าปัจจุบันถึง 5 เท่า Citizen of data scientist ต่างจาก Data scientist ที่ Citizen of data scientist ไม่ได้สร้างโมเดลด้วยตัวเอง แต่ใช้ซอฟต์แวร์ที่ Data scientist สร้างไว้แล้ว

3. AI-Driven Development (ขับเคลื่อนการผลิตด้วย AI)
คือการนำ AI เข้ามาใช้งานในส่วนของการผลิต เช่น นำ AI เข้ามาใช้ในการเขียนโปรแกรมด้วยตัวเอง, ทดสอบ QC หรือแม้กระทั่งสร้าง AI ด้วยตัวเอง

4. Digital Twin (ฝาแฝดดิจิทัล)
คือการนำข้อมูลบนโลก Digital เข้ามาผสมผสานกับโลกที่เราอยู่ ซึ่งสามารถนำไปใช้กับ ผู้คน เสมือนกับว่ามีตัวเราอยู่ทั้งในโลกดิจิทัลและโลกจริง หรือระบบต่างๆรวมไปถึงอุปกรณ์, โรงงาน, สายการบินต่างๆ โดยอาศัยเซ็นเซอร์จำนวนมากในการแทร็คและเก็บข้อมูล เพื่อนำไปใช้งานในการมอนิเตอร์ หรือการลดค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น อย่าง Smart City ที่ใช้ข้อมูลที่เกิดขึ้นในเมืองมาวิเคราะห์ เช่นใช้ข้อมูลจากกล้องบนท้องถนนเพื่อนำมาวิเคราห์ความหนาแน่นของการจราจรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมไฟเขียวไฟแดงบนท้องถนน ซึ่งทำให้การจราจรสะดวกยิ่งขึ้น

5. Empowered Edge (เพิ่มความสามารถอุปกรณ์ต้นทาง)
จากยุคก่อนหน้านี้ที่ Cloud Computing เข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมากในการลดค่าใช้จ่ายโดย Cloud computing จะเป็นตัวศุนย์กลางทั้งในการวิเคราะห์ข้อมูล รัน AI และจัดเก็บข้อมูล จึงมีปัญหาตามมาคือ ในปัจจุบันมีข้อมูลเยอะขึ้น และแต่ละข้อมูลจะต้องวิ่งผ่าน Cloud ทั้งหมด ทำให้มีค่าใช้จ่ายสูง และประสิทธิภาพการใช้งานที่ไม่ดีเพียงพอ ทำให้บริษัทผู้ผลิตต่างๆเห็นปัญหานี้และได้สร้างตัวอุปกรณ์ Device ที่มีความสามารถในการคำนวณมากขึ้น รวมไปถึงมีการวางชิพ AI ไว้ในบนบอร์ดขนาดเล็กๆ จึงทำให้ device สามารถคำนวณได้เลย ไม่ต้องส่งข้อมูลทั้งหมดไปให้ cloud คำนวน ทำให้ลดระยะเวลา และประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้น

6. Immersive Experience (ความเป็นจริงเสมือนจริง)
คือระบบที่ทำให้มนุษย์สามารถมีปฎิสัมพันธ์ผ่านโลกดิจิทัลกันได้มากขึ้น เช่น ระบบ Remote assistant ที่ให้ Expert engineer สามารถเข้ามาแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมได้ตลอดเวลา โดยผ่านการทำงานระยะไกล ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น หรืออาจจะเห็นได้ชัดอย่าง Chatbot, Smart speakers หรือ Customer service agents ที่ช่วยเข้ามาจัดชีวิตเราให้สะดวกสบายยิ่งขึ้น

7. Block chains (บล็อคเชน)
หลายๆคนอาจจะได้ยิน Block chains มานานแล้ว ที่มีชื่อเสียงในด้านความปลอดภัย และเป็นกลางที่สุด แต่ในปัจจุบันเราอาจจะสามารถพบ Block chains ได้แค่ในสกุลเงินดิจิทัลออลไลน์ได้อย่างบิทคอยน์ ซึ่งจริงๆแล้ว เทคโนโลยีทางด้าน Block chains สามารถพัฒนาต่อไปได้อีกมาก และยังช่วยในการลดการผูกขาดทางด้านธุรกิจ หรือเทคโนโลยีในอนาคต

8. Smart Spaces (พื้นที่ชาญฉลาด)
คือการนำเทคโนโลยีต่างๆทั้งหลายมารวมเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืนเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของมนุษย์ ทั้งชีวิต การทำงาน จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เช่น สถานที่ทำงานที่อยู่ที่ไหนก็ได้ที่มีอินเทอร์เน็ตเชื่อมต่อ เพื่อส่งเสริมความเป็น Smart city และ Digital Twin

9. Privacy and Ethics (ความเป็นส่วนตัวและจริยธรรม)
จากในปัจจุบันจะเห็นได้ว่า AI สามารถทำงานสิ่งต่างๆได้ไม่แพ้มนุษย์หรืออาจจะเหนือกว่ามนุษย์ได้ในบางเรื่อง เนื่องจากมีข้อมูลต่างๆที่ตัวเราเป็นคนสร้างขึ้นมาแล้วนำไปวิเคราะห์เพื่อสร้าง AI ขึ้นมา ดังนั้นเราก็ควรตระหนักถึง ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล เช่น บริษัททำระบบสำหรับแทร็คการออกกำลังกายแห่งหนึ่งที่ถูกใช้ในทหารในอิรัก แต่กลับปล่อยข้อมูลที่อยู่ของทหารในขณะนั้นบนอินเทอร์เน็ต

10. Quantum Computing (ควอนตัมคอมพิวเตอร์)
ควอนตัมคอมพิวเตอร์มีความรวดเร็วมากกว่าคอมพิวเตอร์ถึง 100 ล้านเท่า สามารถถอดรหัสที่คอมพิวเตอร์ธรรมดาใช้เวลา 1,000 ปี ได้ในเวลา 3 นาที ด้วยความเร็วขนาดนี้ จึงมีความสามารถในการแก้ไขปัญหาต่างๆที่มนุษย์ไม่สามารถแก้ไขได้ หรือคำนวณหาโอกาสใหม่ๆ ทั้งในด้านวัสดุเคมี การเงิน การทหาร หรือด้านความปลอดภัยต่างๆของระบบในปัจจุบัน เป็นต้น

by_——- W.Bank ——-